วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ส่งงานนำเสนอโปรเจกเรื่อง อินดี้ไทย คลิกข้างล่างเลยคาฟ

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ข่าวประจำสัปดาห์ที่8

ฐานข้อมูลDatabase
1. ฐานข้อมูล (Database)
ฐานข้อมูล คือ การจัดเก็บข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันมาเก็บไว้ด้วยกันเพื่อลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล อาจจะเปรียบเทียบเป็นคลังของข้อมูล โดยข้อมูลจะถูกเก็บรวมอย่างมีรูปแบบและเป็นระเบียบ ทำให้เกิดความสะดวกและง่ายในการที่จะนำเอาข้อมูลเหล่านี้ไปทำการประมวลผลและจัดการกับข้อมูล เช่น การเพิ่มข้อมูล การสร้างรายงานเกี่ยวกับข้อมูล และการแสดงผลข้อมูล เป็นต้น นอกจากนี้ยังคำนึงถึงการใช้ข้อมูลร่วมกันระหว่างงานหลาย ๆ งานเพื่อประโยชน์ในการที่เราจะเรียกใช้ข้อมูลนั้นๆ การเก็บหรือการนำออกมาใช้จะต้องกระทำผ่านทาง ระบบการจัดฐานข้อมูลหรือที่เรารู้จักกันในนาม DBMS และภาษาที่เราจะใช้ในการติดต่อกับ ฐานข้อมูลก็คือ ภาษา SQL
ระบบฐานข้อมูล (Database System) คือ ระบบการบันทึกฐานข้อมูล โดยใช้คอมพิวเตอร์
คลิกที่นี้คาฟhttp://pamool.blogspot.com/2008/07/file-record-field-electronic-filing.html

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข่าวประจำสัปดาห์ที่ 7

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ Database Component for Borland Delphi 6.0
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::>>

ในการพัฒนา Application ด้วย Delphi นั้น Component ถือว่าเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากเราสามารถใช้ Component ในการติดต่อและตอบโต้กับผู้ใช้ และเป็น เครื่องมือที่ช่วยให้ควบคุมการทำงานภายใน Applicationได้อย่างง่ายดายและสะดวก
ความหมายและประเภทของ Component

คอมโพเนนต์ คือ object ต่างๆที่นำมาใช้ประกอบในการสร้างแอพลิเคชัน ซึ่ง คอมโพเนนต์ ส่วนใหญ่จะถูกจัดเก็บไว้ใน Compinent Palette โดยแยกเก็บเป็นหมวดหมู่เอาไว้พร้อมนำไปประกอบแอพพลิเคชันที่เราสร้างขึ้น คอมโพเนนต์จะถูกแยกออกเป็น 2 ประเภทดังนี้
Visual Component เป็นคอมโพเนนต์ที่มีส่วนติดต่อกับผู้ใช้โดยจะแสดงให้เห็นในขณะที่รันแอพพลิเคชัน เช่นข้อความหรือปุ่มต่างๆ
Non-Visual Component เป็นคอมโพเนนต์ที่ไม่แสดงให้เห็นในขณะที่รันแอพพลิเคชัน โดยจะเป็นไอคอนขนาดเล็กอยู่บนฟอร์มขณะออกแบบ เช่น MainMenu , PopupMenu

DBText การทำงานจะคล้ายๆกับคอมโพเนนต์ Label ในเพจมาตรฐาน แต่ DBTextจะไม่มีproperty ที่ใช้กำหนดข้อความให้กับคอมโพเนนต์ โดยข้อความนั้นจะเป็นข้อมูลที่ดึงมาจากฐานข้อมูล

DBEdit การทำงานคล้ายกับคอมโพเนนต์ Edit แต่เป็นการแสดงข้อมูลที่ได้จากฐานข้อมูลรวมทั้งยังมีความสามารถในการแก้ไขข้อมูลในฐานข้อมูลได้ด้วย

DBMemo ใช้แสดงข้อมูล และแก้ไขข้อมูลจำนวนหลายๆบรรทัด จากฐานข้อมูล

DBImage ใช้ใชการแสดงหรือเปลี่ยนแปลงฟิลด์ข้อมูลที่มีชนิดเป็นรูปภาพจากฐานข้อมูล คอมโพเนนต์นี้มีส่วนช่วยเพิ่มความสามารถในการเก็บข้อมูลชนิดรูปภาพได้เป็นอย่างมาก

DBListbox มีลักษณะคล้ายกับคอมโพเนนต์ ListBox ในแท็บ Standard ซึ่งใช้สำหรับกำหนดลิสต์รายการเพื่อให้ผู้ใช้เลือก แต่รายการที่ถูกเลือกจะถูกเก็บเข้าไปในฟิลด์ที่เรากำหนดให้กับ DBListBox

DBComboBox เป็นคอมโพเนนต์ที่ประกอบด้วยส่วนของ Edit และ ListBox โดยมีลักษณะคล้ายกับคอมโพเนนต์ ComboBox ในแท็บ Standard

DBCheckBox ใช้สำหรับกำหนดฟิลด์ประเภทบูลีน ซึ่งมีลักษณะการทำงานคล้ายกับคอมโพเนนต์ CheckBox ในแท็บ Standard ในการใช้งานจะต้องกำหนด property DataSource สำหรับเชื่อมต่อไปยัง Dataset และพร็อพเพอร์ตี้ DataField สำหรับกำหนดฟิลด์ที่ต้องการทำงานด้วย



:: การสร้างแอพพลิเคชันฐานข้อมูลโดยใช้ ADO
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::>> Top

ทำความรู้จักกับ ADO การพัฒนาแอพพลิเคชันฐานข้อมูลทั่วๆไปใน Delphi นั้นแต่เดิมจะต้องอาศัย BDE ดังที่ได้อธิบายไปแล้วแต่ปัจจุบันได้มีการเพิ่มคุณสมบัติของการติดต่อกับฐานข้อมูลอีกรูปแบบหนึ่ง โดยใช้โมเดลของ Active Data Object หรือ ADO ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาโดยไมโครซอฟต์เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้หลายประเภทและใช้งานได้ง่าย
ADO หรือ Active Data Object เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการติดต่อกับฐานข้อมูลรูปแบบใหม่ เป็น Data Object ที่ช่วยให้แอพพลิเคชันสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยผ่าน OLE DB (เป็นรูปแบบ และวิธีการเข้าถึงแหล่งข้อมูลของเทคโนโลยี ADO) ซึ่งเป็นอินเตอร์เฟสระดับล่างที่สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูล ได้หลายประเภท โดยจะรวมความสามารถในการเข้าถึงแหล่งข้อมูลในลักษณะที่เรียกว่า Universal Data Access นั่นคือสามารถติดต่อกับฐานข้อมูลได้ หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นฐานข้อมูลแบบ relational หรือ non-relational , e-mail และ ระบบ ไฟล์ , เท็กซ์และกราฟฟิก และแหล่งข้อมูลอื่นๆ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นตารางแต่เพียงอย่างเดียว คุณสมบัติของADO คือใช้งานง่าย มีขั้นตอนในการติดต่อระหว่างแอพพลิเคชันน้อย ใช้ทรัพยากรเครือข่ายไม่มาก อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพต่อการเข้าถึงข้อมูลสูงสุดด้วย
การทำงานของ ADO นั้นสามารถติดต่อกับแหล่งข้อมูลได้ทั้งแบบ 1-tier คือลักษณะที่ฐานข้อมูลอยู่ภายในเครื่องเดียวกับแอพพลิเคชัน และการใช้งานแบบ multi-tier คือลักษณะที่ฐานข้อมูลอยู่คนละเครื่องกับแอพพลิเคชัน
แนวโน้มการใช้งาน ADO จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเข้าถึงข้อมูลของไมโครซอฟต์เช่น MS Access และ My SQL Server ซึ่งนอกจากจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์กว่าการใช้ BDE แล้วการแจกจ่ายโปรแกรมที่ใช้ ADO ในอนาคตไม่จำเป็นต้องมีการแจกจ่าย Database Engine ไปด้วยเลย เนื่องจาก Database Engine ที่ใช้คือ OLE DB ซึ่งจะมีอยู่ใน MS Windows รุ่นใหม่ๆ (98 SE , 2000)และใน MS Office 2000 ด้วย
ขั้นตอนการติดต่อกับฐานข้อมูลโดยใช้ ADO อธิบายได้ดังรูป



ในทำนองเดียวกับ BDE คอมโพเนนต์ที่ใช้ติดต่อกับฐานข้อมูลโดยผ่าน ADO นั้น ก็แบ่งเป็น 3 ประเภทเช่นกัน คือ Dataset , Datasource และ Data Control ซึ่งรายละเอียดในการใช้งานของ Datasource และ Data Control นั้นจะเหมือนกันกับการใช้งานใน BDE จะต่างกันแต่เพียงส่วนของ Dataset ซึ่งรายละเอียดของ Dataset ที่ใช้กับ ADO มีดังนี้ ADOConnection ใช้ติดต่อกับแหล่งข้อมูลของ ADO โดยเราสามารถใช้ ADOConnaection ร่วมกับADODataset ต่างๆและคอมโพเนนต์ ADOCommand เพื่อเอ็กซีคิวคำสั่งและเข้าถึงข้อมูล
ADODataset เป็นคอมโพเนนต์หลักที่ใช้ในการเข้าถึงข้อมูล สามารถดึงข้อมูลจากเทเบิลเดี่ยวๆหรือหลายๆเทเบิลโดยใช้คำสั่ง SQL ก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อกับแหล่งข้อมูลโดยตรงหรือผ่าน ADOConnection ก็ได้
ADOTable ใช้สำหรับทำงานกับเทเบิลเดี่ยวๆสามารถติดต่อกับแหล่งข้อมูลโดยตรงหรือผ่าน ADOConnection ก็ได้
ADOQuery ใช้สำหรับทำงานกับคำสั่ง SQL สามารถติดต่อกับแหล่งข้อมูลโดยตรง หรือผ่าน ADOConnection ก็ได้
ADOStoredProc ใช้สำหรับเอ็กซีคิวต์ stored procedure สามารถติดต่อกับแหล่งข้อมูลโดยตรง หรือผ่าน ADOConnection ก็ได้
ADOCommand ใช้ในการเอ็กซีคิวต์คำสั่งต่างๆเช่นคำสั่ง SQL สามารถติดต่อกับแหล่งข้อมูลโดยตรง หรือผ่าน ADOConnection ก็ได้
RDSConnection เป็นคอมโพเนนต์ที่มีลักษณะการทำงานคล้ายกับ ADOConnectionใช้ในการสร้างแอพพลิเคชันแบบ multi-tier

ออบเจ็คหลักๆของ ADO คือ Connection, Command และ Recordset โดยออบเจ็คเหล่านี้แทนด้วย คอมโพเนนต์ใน Delphi คือ ADOConnection, ADOCommand และ ADO dataset ทั้งหลาย (คือ ADODatasset, ADOTable และ ADOQuery) นอกจากนี้ยังมีออบเจ็คอื่นที่ช่วยในการทำงานของ ADO เพียงแต่จะไม่ถูกเรียกใช้โดยตรงและไม่มีคอมโพเนนต์ที่ใช้แทนออบเจ็คเหล่านี้
การใช้ ADO ทำให้เราสร้างแอพพลิเคชันฐานข้อมูลได้โดยไม่ขึ้นกับ Boland Database Engine (BDE) คือ ได้โดยไม่ต้องมี BDE แต่ลักษณะโครงสร้างของแอพพลิเคชันก็ยังคงเป็นเช่นเดิม เพียงแต่จะใช้คอมโพเนนต์ ADO แทน Data Access เท่านั้นและยังคงใช้ DataSource กับ Data Control ชุดเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนค่าพร็อพเพอร์ตี Dataset ของ DataSource ให้เป็นคอมโพเนนต์ ADO
การติดต่อกับแหล่งข้อมูล
การติดต่อกับฐานข้อมูลเพื่อนำข้อมูลต่างๆมาใช้งานนั้นสามารถเชื่อมโยงแอพพลิเคชันเข้ากับฐานข้อมูลได้ 2 วิธี วิธีที่ 1 ใช้คอมโพเนนต์ ADOConnection ในการติดต่อกับฐานข้อมูล ซึ่งจะเป็นตัวกลางระหว่างฐานข้อมูลและ Dataset
วิธีที่ 2 ใช้คอมโพเนนต์ Dataset เชื่อมต่อกับฐานข้อมูลโดยตรง
ในการติดต่อกับฐานข้อมูลโดยใช้ ADOConnection จะมีข้อดีกว่าการใช้ Dataset ติดต่อโดยตรงดังนี้
-- สามารถใช้ ADOConnection ร่วมกับคอมโพเนต์ ADO ตัวอื่นๆได้ ช่วยให้การปรับปรุงแก้ไขทำได้ง่าย เช่น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงชื่อฐานข้อมูลโดยโครงสร้างภายในเหมือนเดิม เราก็แก้ไขเฉพาะที่ ADOConnection ซึ่งจะไม่มีผลกระทบต่อคอมโพเนนต์ ADO ตัวอื่นๆ
-- สามารถดูได้ว่า มีคอมโพเนนต์ ADO อะไรบ้างที่เชื่อมต่ออยู่กับ ADOConnection
-- สามารถควบคุม Transaction ที่เกิดขึ้นได้
คลิกเลยคาฟ

Privacy Policy About Us
Copyright © 2000-2008 - Job Online Co.,Ltd. All rights reserved.
Conta888ct Webmas
t

ข่าวประจำสัปดาห์ที่ 6

ฐานข้อมูล
รบกวนแนะนำมือใหม่่หัดศึกษาหน่อยครับ
1. Key มีกี่แบบอะไรบ้าง
2. แต่ละแบบ
3. มีคุณสมบัติ และ ใช้ยังไง
ขอเพิ่มเติมนิดนึงครับ
ระบบสารสนเทศพื้นฐาน มีอะไรบ้างครับ (ที่ผมศึกษามามันมี)
1. ข้อมูล (Data) คือ ข้อมูลที่ยังไม่ได้ประมวลผล
2. สารสนเทศ (Information) คือ ข้อมูลที่ประมวลผลแล้ว
3. การจัดการ (Management) คือ การบริหารอย่างเป็นระบบ เพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ขององค์กร
แนวคิดเรื่องระบบสารสนเทศพื้นฐาน (Fundamental Information System Concept)
จากแนวคิดเรื่องระบบ (System Concept) มาเป็นรากฐานของระบบสารสนเทศ ที่แสดงให้เห็นถึงการนำระบบไปใช้ในองค์กรธุรกิจ รวมทั้งส่วนประกอบและกิจกรรมของระบบสารสนเทศ ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจแนวคิดอื่นๆ ของเทคโนโลยี โปรแกรมประยุกต์ การพัฒนา และการจัดการระบบสารสนเทศ
การวิเคราะห์ American Management System
กรณีศึกษาของ American Management System จะช่วยให้ในการเรียนรู้เรื่องประโยชน์และข้อจำกัดของการใช้ระบบสารสนเทศในธุรกิจ
ศูนย์ความรู้ของ AMS (The AMS knowledge Center) เป็นตัวอย่างของระบบสารสนเทศแบบใหม่ เป็นระบบการจัดการองค์ความรู้ (Knowledge Management System : KMS) ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหลากหลาย เพื่อช่วยให้พนักงานขององค์กรที่มีความรู้ช่วยกันจัดโครงสร้างและแบ่งปันความรู้ทางธุรกิจในรูปของอินทราเน็ตเว็บไซท์ ในหัวข้อ ‘ การปฏิบัติงานที่ดี (Best Practices)’ ได้รับการพัฒนาขึ้นจากประสบการณ์ทางธุรกิจของพนักงานและเก็บบันทึกไว้ในรูปแบบสื่อประสมเชื่อมโยงหลายมิติ (Hyperlink Multimedia) บนเว็บไซท์ โดยพนักงานอื่นสามารถเรียกใช้งานได้จากเว็บบราวเซอร์ (Web Browser)
ศูนย์ความรู้ของ AMS เป็นหนึ่งในหลายๆรูปแบบของระบบสารสนเทศ ซึ่งมีส่วนประกอบพื้นฐานดังนี้
ทรัพยากรบุคคล ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ข้อมูล และเครือข่าย
สิ่งที่สนับสนุน ข้อมูลเข้า การประมวลผล ข้อมูลออก จัดเก็บและกิจกรรมควบคุม (Control Activities)
ผลิตภัณฑ์สารสนเทศ (Information Products) ที่หลากหลายสำหรับผู้ใช้ (End User)

ไทใต้ - การจัดการนวัตกรรมและสารสนเทศ - KAZ-NET MODEL นวัตกรรม


คลิกเลยคาฟhttp:///www.no-poor.com/RationalRose/M-IS_files/image007.jpขอบคุณ

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข่าวประจำสัปดาห์ที่5

ฐานข้อมูล

ฐานข้อมูล คือ ชุดของสารสนเทศที่มีโครงสร้างสม่ำเสมอ

ชุดของสารสนเทศใด ๆ ก็อาจเรียกว่าเป็นฐานข้อมูลได้ ถึงกระนั้น คำว่าฐานข้อมูลนี้มักใช้อ้างถึงข้อมูลที่ประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ และถูกใช้ส่วนใหญ่เฉพาะในวิชาการคอมพิวเตอร์ บางครั้งคำนี้ก็ถูกใช้เพื่ออ้างถึงข้อมูลที่ยังมิได้ประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์เช่นกัน ในแง่ของการวางแผนให้ข้อมูลดังกล่าวสามารถประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ได้

ประวัติ

ฐานข้อมูลในลักษณะที่คล้ายกับฐานข้อมูลสมัยใหม่ ถูกพัฒนาเป็นครั้งแรกในทศวรรษ 1960 ซึ่งผู้บุกเบิกในสาขานี้คือ ชาลส์ บากแมน แบบจำลองข้อมูลสำคัญสองแบบเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ซึ่งเริ่มต้นด้วย แบบจำลองข่ายงาน (พัฒนาโดย CODASYL) และตามด้วยแบบจำลองเชิงลำดับชั้น (นำไปปฏิบัติใน IMS) แบบจำลองทั้งสองแบบนี้ ในภายหลังถูกแทนที่ด้วย แบบจำลองเชิงสัมพันธ์ ซึ่งอยู่ร่วมสมัยกับแบบจำลองอีกสองแบบ แบบจำลองแบบแรกเรียกกันว่า แบบจำลองแบนราบ ซึ่งออกแบบสำหรับงานที่มีขนาดเล็กมาก ๆ แบบจำลองร่วมสมัยกับแบบจำลองเชิงสัมพันธ์อีกแบบ คือ ฐานข้อมูลเชิงวัตถุ หรือ โอโอดีบี3 (OODB)

ในขณะที่แบบจำลองเชิงสัมพันธ์ มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีเซต ได้มีการเสนอแบบจำลองดัดแปลงซึ่งใช้ทฤษฎีเซตคลุมเครือ (ซึ่งมีพื้นฐานมาจากตรรกะคลุมเครือ) ขึ้นเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง

ปัจจุบันมีการกล่าวถึงมาตรฐานโครงสร้างฐานข้อมูล เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงฐานข้อมูลต่างระบบ ให้สืบค้นรวมกันเสมือนเป็นฐานข้อมูลเดียวกัน และการสืบค้นต้องแสดงผลตรงตามคำถาม มาตรฐานดังกล่าวได้แก่ XML RDF Dublin Core Metadata เป็นต้น และสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่จะช่วยให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลรหว่างต่างหน่วยงานได้ดี คือการใช้ Taxonomy และ อรรถาภิธาน ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับจัดการความรู้ในลักษณะศัพท์ควบคุม เพื่อจำกัดความหมายของคำที่ใช้ได้หลายคำในความหมายเดียวกัน จากโรงเรียนสสสสทท

ระบบจัดการฐานข้อมูล

ซอฟต์แวร์สำหรับจัดการฐานข้อมูลนั้น โดยทั่วไปเรียกว่า ระบบจัดการฐานข้อมูล หรือ ดีบีเอ็มเอส (DBMS - Database Management System) สถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์ของดีบีเอ็มเอสอาจมีได้หลายแบบ เช่น สำหรับฐานข้อมูลขนาดเล็กที่มีผู้ใช้คนเดียว บ่อยครั้งที่หน้าที่ทั้งหมดจะจัดการด้วยโปรแกรมเพียงโปรแกรมเดียว ส่วนฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีผู้ใช้จำนวนมากนั้น ปกติจะประกอบด้วยโปรแกรมหลายโปรแกรมด้วยกัน และโดยทั่วไปส่วนใหญ่จะใช้สถาปัตยกรรมแบบรับ-ให้บริการ (client-server)

โปรแกรมส่วนหน้า (front-end) ของดีบีเอ็มเอส (ได้แก่ โปรแกรมรับบริการ) จะเกี่ยวข้องเฉพาะการนำเข้าข้อมูล, การตรวจสอบ, และการรายงานผลเป็นสำคัญ ในขณะที่โปรแกรมส่วนหลัง (back-end) ซึ่งได้แก่ โปรแกรมให้บริการ จะเป็นชุดของโปรแกรมที่ดำเนินการเกี่ยวกับการควบคุม, การเก็บข้อมูล, และการตอบสนองการร้องขอจากโปรแกรมส่วนหน้า โดยปกติแล้วการค้นหา และการเรียงลำดับ จะดำเนินการโดยโปรแกรมให้บริการ รูปแบบของระบบฐานข้อมูล มีหลากหลายรูปแบบด้วยกัน นับตั้งแต่การใช้ตารางอย่างง่าย ที่เก็บในแฟ้มข้อมูลแฟ้มเดียว ไปจนกระทั่งฐานข้อมูลขนาดใหญ่มาก ที่มีระเบียนหลายล้านระเบียน ซึ่งเก็บในห้องที่เต็มไปด้วยดิสก์ไดรฟ์ หรืออุปกรณ์หน่วยเก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์รอบข้าง (peripheral) อื่น ๆ

การออกแบบฐานข้อมูล

การออกแบบฐานข้อมูล (Designing Databases) มีความสำคัญต่อการจัดการระบบฐานข้อมูล (DBMS) ทั้งนี้เนื่องจากข้อมูลที่อยู่ภายในฐานข้อมูลจะต้องศึกษาถึงความสัมพันธ์ของข้อมูล โครงสร้างของข้อมูลการเข้าถึงข้อมูลและกระบวนการที่โปรแกรมประยุกต์จะเรียกใช้ฐานข้อมูล ดังนั้น เราจึงสามารถแบ่งวิธีการสร้างฐานข้อมูลได้ 3 ประเภท

1. รูปแบบข้อมูลแบบลำดับขั้น หรือโครงสร้างแบบลำดับขั้น (Hierarchical data model) วิธีการสร้างฐาน ข้อมูลแบบลำดับขั้นถูกพัฒนาโดยบริษัท ไอบีเอ็ม จำกัด ในปี 1980 ได้รับความนิยมมาก ในการพัฒนาฐานข้อมูลบนเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่และขนาดกลาง โดยที่โครงสร้างข้อมูลจะสร้างรูปแบบเหมือนต้นไม้ โดยความสัมพันธ์เป็นแบบหนึ่งต่อหลาย (One- to -Many)

2. รูปแบบข้อมูลแบบเครือข่าย (Network data Model) ฐานข้อมูลแบบเครือข่ายมีความคล้ายคลึงกับฐาน ข้อมูลแบบลำดับชั้น ต่างกันที่โครงสร้างแบบเครือข่าย อาจจะมีการติดต่อหลายต่อหนึ่ง (Many-to-one) หรือ หลายต่อหลาย (Many-to-many) กล่าวคือลูก (Child) อาจมีพ่อแม่ (Parent) มากกว่าหนึ่ง สำหรับตัวอย่างฐานข้อมูลแบบเครือข่ายให้ลองพิจารณาการจัดการข้อมูลของห้องสมุด ซึ่งรายการจะประกอบด้วย ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง สำนักพิมพ์ ที่อยู่ ประเภท

3. รูปแบบความสัมพันธ์ข้อมูล (Relation data model) เป็นลักษณะการออกแบบฐานข้อมูลโดยจัดข้อมูลให้อยู่ในรูปของตารางที่มีระบบคล้ายแฟ้ม โดยที่ข้อมูลแต่ละแถว (Row) ของตารางจะแทนเรคอร์ด (Record) ส่วน ข้อมูลนแนวดิ่งจะแทนคอลัมน์ (Column) ซึ่งเป็นขอบเขตของข้อมูล (Field) โดยที่ตารางแต่ละตารางที่สร้างขึ้นจะเป็นอิสระ ดังนั้นผู้ออกแบบฐานข้อมูลจะต้องมีการวางแผนถึงตารางข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ เช่นระบบฐานข้อมูลบริษัทแห่งหนึ่ง ประกอบด้วย ตารางประวัติพนักงาน ตารางแผนกและตารางข้อมูลโครงการ แสดงประวัติพนักงาน ตารางแผนก และตารางข้อมูลโครงการ

การออกแบบฐานข้อมูลในองค์กรขนาดเล็กเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานอาจเป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากนัก เนื่องจากระบบและขั้นตอนการทำงานภายในองค์กรไม่ซับซ้อน ปริมาณข้อมูลที่มีก็ไม่มาก และจำนวนผู้ใช้งานฐานข้อมูลก็มีเพียงไม่กี่คน หากทว่าในองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งมีระบบและขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อน รวมทั้งมีปริมาณข้อมูลและผู้ใช้งานจำนวนมาก การออกแบบฐานข้อมูลจะเป็นเรื่องที่มีความละเอียดซับซ้อน และต้องใช้เวลาในการดำเนินการนานพอควรทีเดียว ทั้งนี้ ฐานข้อมูลที่ได้รับการออกแบบอย่างเหมาะสมจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งานภายในหน่วยงานต่าง ๆ ขององค์กรได้ ซึ่งจะทำให้การดำเนินงานขององค์กรมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น เป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลภายในองค์กรทั้งนี้ การออกแบบฐานข้อมูลที่นำซอฟต์แวร์ระบบจัดการฐานข้อมูลมาช่วยในการดำเนินการ สามารถจำแนกหลักในการดำเนินการได้ 6 ขั้นตอน คือ

1.การรวบรวมและวิเคราะห์ความต้องการในการใช้ข้อมูล

2.การเลือกระบบจัดการฐานข้อมูล

3.การออกแบบฐานข้อมูลในระดับแนวคิด

4.การนำฐานข้อมูลที่ออกแบบในระดับแนวคิดเข้าสู่ระบบจัดการฐานข้อมูล

5.การออกแบบฐานข้อมูลในระดับกายภาพ

6.การนำฐานข้อมูลไปใช้และการประเมินผล


การออกแบบฐานข้อมูลในระดับตรรกะ

การออกแบบฐานข้อมูลในระดับตรรกะ หรือในระดับแนวความคิด เป็นขั้นตอนการออกแบบความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในระบบโดยใช้แบบจำลองข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ซึ่งอธิบายโดยใช้แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล (E-R Diagram) จากแผนภาพ E-R Diagram นำมาสร้างเป็นตารางข้อมูล (Mapping E-R Diagram to Relation) และใช้ทฤษฏีการ Normalization เพื่อเป็นการรับประกันว่าข้อมูลมีความซ้ำซ้อนกันน้อยที่สุด

ช่วยคลิกหน่อยครับhttp://th.wikipedia.org/wikiขอบคุณครับ